"ถ้าเพิ่มทำละลาย จุดเดือดของสารละลายจะเพิ่มขึ้น"
"ถ้าเพิ่มปริมาณปุ๋ยให้กับพืชมากเกินไป พืชจะเฉาตาย"
"ถ้าอุณหภูมิที่แวดล้อมมีผลต่อการเจริญเติบโตของบัคเตรี ดังนั้น บัคเตรีที่อยู่ในอุณหภูมิพอเหมาะจะเจริญเติบโตมากกว่าบัคเตรีที่อยู่ในอุณหภูมิไม่เหมาะสม"
"ถ้าช่วงขาที่มีผลต่อเวลาที่ใช้ในการวิ่ง ดังนั้น นาย ก. ซึ่งมีช่วงขายาวกว่า นาย ข. จะใช้เวลาในการวิ่ง 100 เมตร น้อยกว่า"
"ในการปล่อยลูกบอลจากระดับที่สูงขึ้นลงสู่พื้นมีผลต่อความสูงที่ลูกบอลกระเด้งขึ้น ดังนั้นลูกบอลที่ปล่อยจากระดับที่สูงกว่าจะกระเด้งสูงกว่าบอลที่ปล่อยจากระดับที่ต่ำกว่า"
http://blog.eduzones.com/jipatar/85921 ได้สรุปและกล่าวไว้ว่า การตั้งสมมติฐาน เป็นการคาดคะเนหรือการทายคำตอบอย่างมีเหตุผล มักเขียนในลักษณะ การแสดงความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น(independent variables) และตัวแปรตาม (dependent variable) เช่น การติดเฮโรอีนชนิดฉีด เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเอดส์ สมมติฐานทำหน้าที่เสมือนเป็นทิศทาง และแนวทาง ในการวิจัย จะช่วยเสนอแนะ แนวทางในการ เก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป สมมติฐานต้องตอบวัตถูประสงค์ของการวิจัยได้ครบถ้วนและทดสอบและวัดได้
นอกจากนี้ ผู้วิจัยควรนำเอาสมมติฐานต่างๆ
ที่เขียนไว้มารวมกันให้เป็นระบบและมีความเชื่อมโยงกันในลักษณะที่เป็นกรอบแนวความคิดของการศึกษาวิจัยทั้งเรื่อง
เช่น
จะศึกษาถึง พฤติกรรมสุขภาพเมื่อเจ็บป่วยของคนงาน อาจต้องแสดง (นิยมทำเป็นแผนภูมิ)
ถึงที่มาหรือปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดในพฤติกรรมดังกล่าว หรือในทางกลับกัน
ผู้วิจัยอาจกำหนดกรอบแนวความคิดของการวิจัย
ซึ่งระบุว่าการวิจัยนี้มีตัวแปรอะไรบ้าง
และตัวแปรเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไรก่อน
แล้วจึงเขียนสมมติฐานที่ระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรในลักษณะที่เป็นข้อๆ
ในภายหลัง
https://docs.google.com/viewer?a=v&q=cache:XUxhobD4CmoJ ได้สรุปและกล่าวไว้ว่า สมมติฐานทางการวิจัย
มี 2 ชนิดคือ
1.1 สมมติฐานทางการวิจัยมีแบบมีทิศทาง ( Directional hypothesis )
เป็นสมมติฐานที่เขียนระบุอย่างชัดเจนถึงทิศทางของความแตกต่างถึงทิศทางของความแตกต่างระหว่างกลุ่ม
โดยมีคำว่า
“ ดีกว่า ” หรือ “ สูงกว่า ” หรือ “ ต่ำกว่า
” หรือ “ น้อยกว่า” ในสมมติฐานนั้นๆดังตัวอย่างที่
1 ข้างต้น หรือระบุทิศทางของความสัมพันธ์ โดยมีคำว่า “
ทางบวก ” หรือ “ทางลบ ” ในสมมติฐานนั้นๆ เช่น
ผู้บริหารเพศชายมีประสิทธิภาพในการบริหารงานมากกว่าผู้บริหารเพศหญิง
ผู้บริหารชายมีการใช้อำนาจในตำแหน่งมากกว่าผู้บริหารหญิง
ครูอาจารย์เพศชายมีความวิตกกังวลในการทำงานน้อยกว่าครูอาจารย์เพศหญิง
เจตคติต่อวิชาวิจัยทางการศึกษามีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิจัยทางการศึกษา
1.2 สมมติฐานทางการวิจัยไม่มีแบบไม่มีทิศทาง
(Nondirectional hypothesis ) เป็นสมมติฐานที่ไม่กำหนดทิศทางของความแตกต่างดังตัวอย่างที่
2 หรือไม่กำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ ดังตัวอย่างเช่น นักเรียนที่มีเพศต่างกันมีเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์แตกต่างกัน
ผู้บริหารที่มีเพศต่างกันมีปัญหาในการบริหารงานวิชาการแตกต่างกัน
ภาวะผู้ของผู้บริหารมีความสัมพันธ์กับบรรยากาศองค์การ สรุป
สมมติฐาน (Hypothesis) หมายถึง ข้อความที่นักวิทยาศาสตร์สร้างขึ้นเพื่อคาดคะเนคำตอบของปัญหาล่วงหน้าก่อนที่จะดำเนินการทดลอง สมมติฐานใดจะเป็นที่ยอมรับหรือไม่ขึ้นอยู่กับหลักฐาน เหตุผลที่จะสนับสนุนหรือคัดค้าน (ข้อความที่เป็นสมมติฐานต้องเป็นข้อความคาดคะเนคำตอบโดยที่บุคคลนั้นยังไม่เคยรู้หรือเรียนมาก่อน) ซึ่งสมมติฐานทางการวิจัย มี 2 ชนิดคือ
1.1 สมมติฐานทางการวิจัยมีแบบมีทิศทาง ( Directional hypothesis ) เป็นสมมติฐานที่เขียนระบุอย่างชัดเจนถึงทิศทางของความแตกต่างถึงทิศทางของความแตกต่างระหว่างกลุ่ม โดยมีคำว่า “ ดีกว่า ” หรือ “ สูงกว่า ” หรือ “ ต่ำกว่า ” หรือ “ น้อยกว่า”
1.2 สมมติฐานทางการวิจัยไม่มีแบบไม่มีทิศทาง (Nondirectional hypothesis ) เป็นสมมติฐานที่ไม่กำหนดทิศทางของความแตกต่างดังตัวอย่างที่ 2 หรือไม่กำหนดทิศทางของความสัมพันธ์
อ้างอิง เว็บไซต์:http://e-learning.snru.ac.th/els/scilife/unit1/hypothesis.htm.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555. เว็บไซต์:http://blog.eduzones.com/jipatar/85921.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555. เว็บไซต์:https://docs.google.com/viewer?a=v&q=cache:XUxhobD4CmoJ.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555.
สมมติฐาน (Hypothesis) หมายถึง ข้อความที่นักวิทยาศาสตร์สร้างขึ้นเพื่อคาดคะเนคำตอบของปัญหาล่วงหน้าก่อนที่จะดำเนินการทดลอง สมมติฐานใดจะเป็นที่ยอมรับหรือไม่ขึ้นอยู่กับหลักฐาน เหตุผลที่จะสนับสนุนหรือคัดค้าน (ข้อความที่เป็นสมมติฐานต้องเป็นข้อความคาดคะเนคำตอบโดยที่บุคคลนั้นยังไม่เคยรู้หรือเรียนมาก่อน) ซึ่งสมมติฐานทางการวิจัย มี 2 ชนิดคือ
1.1 สมมติฐานทางการวิจัยมีแบบมีทิศทาง ( Directional hypothesis ) เป็นสมมติฐานที่เขียนระบุอย่างชัดเจนถึงทิศทางของความแตกต่างถึงทิศทางของความแตกต่างระหว่างกลุ่ม โดยมีคำว่า “ ดีกว่า ” หรือ “ สูงกว่า ” หรือ “ ต่ำกว่า ” หรือ “ น้อยกว่า”
1.2 สมมติฐานทางการวิจัยไม่มีแบบไม่มีทิศทาง (Nondirectional hypothesis ) เป็นสมมติฐานที่ไม่กำหนดทิศทางของความแตกต่างดังตัวอย่างที่ 2 หรือไม่กำหนดทิศทางของความสัมพันธ์
อ้างอิง เว็บไซต์:http://e-learning.snru.ac.th/els/scilife/unit1/hypothesis.htm.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555. เว็บไซต์:http://blog.eduzones.com/jipatar/85921.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555. เว็บไซต์:https://docs.google.com/viewer?a=v&q=cache:XUxhobD4CmoJ.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น