วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

22.ภาคผนวก (Appendix)

  http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า ภาคผนวก (Appendix)สิ่งที่นอยมเอาไว้ที่ภาคผนวก เช่น แบบสอบถาม แบบฟอร์มในการเก็บ หรือบันทึกข้อมูล เป็นต้น เมื่อภาคผนวก มีหลายภาค ให้ใช้เป็น ภาคผนวก ก ภาคผนวก ข ภาคผนวก ค แต่ภาคผนวก ให้ขึ้นหน้าใหม่
   http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:qWl4FD9scosJ:www.sara-dd.com/index.php%3Foption%3Dcom_content%26view%3Darticle%26id%3D47:-research-thesis%26catid%3D34:-thesis-research%26Itemid%3D76+&cd=2&hl=th&ct=clnk&gl=th ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า ภาคผนวก (Appendix) คือ ส่วนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องใน วิทยานิพนธ์ ภาคนิพนธ์ ที่ผู้ทำวิทยานิพนธ์ ภาคนิพนธ์ นำมาแสดงประกอบไว้เพื่อให้ วิทยานิพนธ์ ภาคนิพนธ์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก่อนรายการภาคผนวกให้มีหน้าบอกตอนภาคผนวก
    http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:arHBtruYy7EJ:www.stks.or.th/th/knowledge-bank/28-library-science/2631-appendix.html+&cd=5&hl=th&ct=clnk&gl=th ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า Appendix หมายถึง ภาคผนวก เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือหรืองานเขียนที่นำมาจัดไว้ตอนท้ายเนื้อเรื่องของหนังสือหรือหรือสิ่งพิมพ์ ส่วนที่นำมาจัดไว้ในภาคผนวกนี้ ได้แก่ ตารางสถิติ แผนที่ รายชื่อ หรือคำอธิบายที่ยาวเกินกว่าจะรวมไว้ในเนื้อหาหรือในรายการเชิงอรรถของหนังสือ รายการในภาคผนวกนี้เป็นส่วนที่นำมาเสริมเนื้อหาของหนังสือให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยทั่วไปภาคผนวกจะปรากฏอยู่ตอนท้ายของเนื้อเรื่อง ตามด้วยหมายเหตุ อภิธานศัพท์ บรรณานุกรม และดัชนี ถ้ารายการในภาคผนวกนี้มีความสำคัญพอ บรรณารักษ์ผู้ทำบัตรรายการจะระบุไว้ในบัตรรายการด้วย
สรุป
   ภาคผนวก (Appendix)  เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือหรืองานเขียนที่นำมาจัดไว้ตอนท้ายเนื้อเรื่องของหนังสือหรือหรือสิ่งพิมพ์ ส่วนที่นำมาจัดไว้ในภาคผนวกนี้ ได้แก่ ตารางสถิติ แผนที่ รายชื่อ หรือคำอธิบายที่ยาวเกินกว่าจะรวมไว้ในเนื้อหาหรือในรายการเชิงอรรถของหนังสือ รายการในภาคผนวกนี้เป็นส่วนที่นำมาเสริมเนื้อหาของหนังสือให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยทั่วไปภาคผนวกจะปรากฏอยู่ตอนท้ายของเนื้อเรื่อง ตามด้วยหมายเหตุ อภิธานศัพท์ บรรณานุกรม และดัชนี ถ้ารายการในภาคผนวกนี้มีความสำคัญพอ บรรณารักษ์ผู้ทำบัตรรายการจะระบุไว้ในบัตรรายการด้วย 
ภาคผนวกในงานวิจัยหรือในวิทยานิพนธ์คือ ส่วนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องใน วิทยานิพนธ์ ภาคนิพนธ์ ที่ผู้ทำวิทยานิพนธ์ ภาคนิพนธ์ นำมาแสดงประกอบไว้เพื่อให้ วิทยานิพนธ์ ภาคนิพนธ์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก่อนรายการภาคผนวกให้มีหน้าบอกตอนภาคผนวก
อ้างอิง
  เว็บไซต์:http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2556.
 เว็บไซต์:http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:qWl4FD9scosJ:www.sara-dd.com/index.php%3Foption%3Dcom_content%26view%3Darticle%26id%3D47:-research-thesis%26catid%3D34:-thesis-research%26Itemid%3D76+&cd=2&hl=th&ct=clnk&gl=th.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2556.
  เว็บไซต์http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:arHBtruYy7EJ:www.stks.or.th/th/knowledge-bank/28-library-science/2631-appendix.html+&cd=5&hl=th&ct=clnk&gl=th.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2556.

21.เอกสารอ้างอิง (References)

   http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า ในวิทยานิพนธ์ แต่ละเรื่อง จะต้องมี เอกสารอ้างอิง หรือรายการอ้างอิง อันได้แก่ รายชื่อหนังสือ สิ่งพิมพ์อื่น ๆ โสตทัศนวัสดุ ตลอดจนวิธีการ ที่ได้ข้อมูลมา เพื่อประกอบ การเขียนวิทยานิพนธ์เรื่องนั้น ๆ รายการอ้างอิง จะอยู่ต่อจากส่วนเนื้อเรื่อง และก่อนภาคผนวก (การเขียน เอกสารอ้างอิง ให้อนุโลม ตามคู่มือ การพิมพ์วิทยานิพนธ์ ของบัณฑิตวิทยาลัย)    การเขียนเอกสารอ้างอิงตาม "Vancouver Style"
ให้เรียบลำดับ ด้วยนามสกุล ของผู้เขียน ตามด้วยอักษรย่อ ของชื่อต้น และชื่อกลาง ทุกคน แต่ถ้าผู้เขียน มากกว่า 6 คน ให้เขียนเพียง 6 คน แล้วตามด้วย et al
    http://www.unc.ac.th/lib/weblib/reference.html ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า การอ้างอิง หมายถึง การบอกแหล่งที่มาของข้อความที่ใช้อ้างอิง ในเนื้อหาที่นำมาเขียนเรียบเรียง ปัจจุบันในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ นิยมใช้ คือ
  1. การอ้างอิงแบบแทรกปนในเนื้อหา ซึ่งมี 2 ระบบ (ส่งศรี ดีศรีแก้ว, 2534 : 78) คือ
     1.1
ระบบนาม - ปี ( Author - date)
           
ระบบนาม - ปี เป็นระบบที่มีชื่อผู้แต่ง, ปีที่พิมพ์ และเลขหน้า ที่อ้างอิงอยู่ภายในวงเล็บ ดังตัวอย่าง  (ชื่อผู้แต่ง.ปีที่พิมพ์ : เลขหน้าที่อ้างอิง)
     1.2  
ระบบหมายเลข (Number System)  เป็นระบบที่คล้ายคลึงกับระบบนาม - ปี แต่ระบบนี้จะใช้หมายเลขแทนชื่อผู้แต่งเอกสาร
             
อ้างอิง มีอยู่ 2 วิธี คือ
             1.2.1 
ให้หมายเลขตามลำดับของการอ้างอิง
             1.2.2 
ให้หมายเลขตามลำดับอักษรผู้แต่ง
    http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:uq-grHMxX-YJ:planet.kapook.com/jori99/blog/viewnew/64791+&cd=6&hl=th&ct=clnk&gl=th ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า  หนังสืออ้างอิง (Reference Books) คือหนังสือที่ใช้เรื่องราวและข้อเท็จจริง เพื่อใช้ค้นคว้าอ่านประกอบ หรืออ้างอิงเรื่องราวเพียงตอนใดตอนหนึ่งในเล่มเท่านั้น ไม่ใช้หนังสือที่ต้องอ่านทั้งเล่ม เพื่อความสะดวกในการค้นคว้า ห้องสมุดจะจัดแยกหนังสืออ้างอิงออกจากหนังสือธรรมดาและไม่อนุญาตให้ยืมออกนอกห้องสมุด หนังสืออ้างอิงจะมีลักษณะทั่วๆไปดั้งนี้
  1.เป็นหนังสือที่มุ่งให้ข้อเท็จจริงและความรู้เป็นสำคัญ
  2.รวบรวมความรู้ในสาขาวิชาต่างๆมีขอบเขตกว้างขวางเพื่อใช้ตอบปัญหาทั่วๆไป
  3.
เขียนโดยผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆท่าน แต่ละท่านเป็นผู้ที่ มีความรู้ความชำนาญในเรื่องนั้นๆอย่างแท้จริง
  4.
จัดเรียบเรียงเนื้อเรื่องไว้อย่างมีระเบียบ เพื่อให้ใช้ได้สะดวกและรวดเร็ว
  5.
มักมีขนาดแตกต่างจากหนังสือธรรมดา เช่นขนาดใหญ่กว่า มีความยาวมาก
 6.
ไม่จำเป็นต้องอ่านตลอดทั้งเล่ม
 7.
ไม่อนุญาตให้ยืมออกนอกห้องสมุด เพราะ
   7.1
เป็นหนังสือที่ใช้อ่านชั่วคราวไม่ต้องอ่านทั้งเล่ม
   7.2
ราคาค่อนข้างแพง
   7.3
มักมีขนาดใหญ่
   7.4
บางทีเป็นชุดมีหลายจบ ถ้าเล่มใดเล่มหนึ่งหายไป จะทำให้ประโยชน์ของหนังสือชุดนั้นขาดความสมบูรณ์ไป
   7.5
หนังสืออ้างอิงมีผู้ใช้มาก ห้องสมุดจำเป็นต้องจัดหนังสือเหล่านี้ไว้ให้พร้อมสำหรับผู้ใช้อยู่เสมอ
         
หนังสืออ้างอิงภาษาไทยจะมีอักษร  (อ้างอิง) และหนังสืออ้างอิงภาษาอังกฤษจะมี หรือ Ref (Reference)อยู่เหนือเลขเรียกหนังสือทุกเล่ม
สรุป
     หนังสืออ้างอิง (Reference Books) คือหนังสือที่ใช้เรื่องราวและข้อเท็จจริง เพื่อใช้ค้นคว้าอ่านประกอบ หรืออ้างอิงเรื่องราวเพียงตอนใดตอนหนึ่งในเล่มเท่านั้น ไม่ใช้หนังสือที่ต้องอ่านทั้งเล่ม เพื่อความสะดวกในการค้นคว้า ห้องสมุดจะจัดแยกหนังสืออ้างอิงออกจากหนังสือธรรมดาและไม่อนุญาตให้ยืมออกนอกห้องสมุดหนังสืออ้างอิงจะมีลักษณะทั่วๆไปดั้งนี้
1.เป็นหนังสือที่มุ่งให้ข้อเท็จจริงและความรู้เป็นสำคัญ
2.
รวบรวมความรู้ในสาขาวิชาต่างๆมีขอบเขตกว้างขวางเพื่อใช้ตอบปัญหาทั่วๆไป
3.
เขียนโดยผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆท่าน แต่ละท่านเป็นผู้ที่ มีความรู้ความชำนาญในเรื่องนั้นๆอย่างแท้จริง
4.
จัดเรียบเรียงเนื้อเรื่องไว้อย่างมีระเบียบ เพื่อให้ใช้ได้สะดวกและรวดเร็ว
5.
มักมีขนาดแตกต่างจากหนังสือธรรมดา เช่นขนาดใหญ่กว่า มีความยาวมาก
6.
ไม่จำเป็นต้องอ่านตลอดทั้งเล่ม
7.
ไม่อนุญาตให้ยืมออกนอกห้องสมุด เพราะ
   7.1
เป็นหนังสือที่ใช้อ่านชั่วคราวไม่ต้องอ่านทั้งเล่ม
   7.2
ราคาค่อนข้างแพง
   7.3
มักมีขนาดใหญ่
   7.4
บางทีเป็นชุดมีหลายจบ ถ้าเล่มใดเล่มหนึ่งหายไป จะทำให้ประโยชน์ของหนังสือชุดนั้นขาดความสมบูรณ์ไป
   7.5
หนังสืออ้างอิงมีผู้ใช้มาก ห้องสมุดจำเป็นต้องจัดหนังสือเหล่านี้ไว้ให้พร้อมสำหรับผู้ใช้อยู่เสมอ
         
หนังสืออ้างอิงภาษาไทยจะมีอักษร  (อ้างอิง) และหนังสืออ้างอิงภาษาอังกฤษจะมี หรือ Ref (Reference)อยู่เหนือเลขเรียกหนังสือทุกเล่ม
ปัจจุบันในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ นิยมใช้ คือ
1. การอ้างอิงแบบแทรกปนในเนื้อหา ซึ่งมี 2 ระบบ (ส่งศรี ดีศรีแก้ว, 2534 : 78) คือ
     1.1
ระบบนาม - ปี ( Author - date)
            
ระบบนาม - ปี เป็นระบบที่มีชื่อผู้แต่ง, ปีที่พิมพ์ และเลขหน้า ที่อ้างอิงอยู่ภายในวงเล็บ ดังตัวอย่าง   (ชื่อผู้แต่ง.ปีที่พิมพ์ : เลขหน้าที่อ้างอิง)
     1.2  
ระบบหมายเลข (Number System)  เป็นระบบที่คล้ายคลึงกับระบบนาม - ปี แต่ระบบนี้จะใช้หมายเลขแทนชื่อผู้แต่งเอกสาร
             
อ้างอิง มีอยู่ 2 วิธี คือ
             1.2.1 
ให้หมายเลขตามลำดับของการอ้างอิง
             1.2.2 
ให้หมายเลขตามลำดับอักษรผู้แต่ง
อ้างอิง
  เว็บไซต์:http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2556.
 เว็บไซต์:http://www.unc.ac.th/lib/weblib/reference.html.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2556.
 เว็บไซต์:http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:uq-grHMxX-YJ:planet.kapook.com/jori99/blog/viewnew/64791+&cd=6&hl=th&ct=clnk&gl=th.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2556.   

20.งบประมาณ (Budget)

http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า การคิดงบประมาณ ควรยึดแผนการดำเนินงาน และตารางปฏิบัติงาน เป็นหลัก โดยวิเคราะห์ ในแต่ละกิจกรรมย่อย ว่าต้องการทรัพยากร อะไรบ้าง จำนวนเท่าใด ต้องการตอนไหน ซึ่งตามปกติแล้ว ควรแจกแจง ในรายละเอียด อย่างสมเหตุสมผล กับเรื่องที่จะ ทำวิจัย และควรแยกออกเป็น หมวด ๆ
 ก. หมวดบุคลากร โดยระบุว่า ต้องการบุคลากร ประเภทไหน มีคุณวุฒิ หรือความสามารถ อะไร จำนวนเท่าไร จะจ้าง ในอัตราเท่าไร เป็นระยะเวลาเท่าไร
 ข. หมวดค่าใช้สอย เป็นรายจ่าย เพื่อให้ได้มา ซึ่งบริการใด ๆ เช่น ค่าสื่อสาร ค่าธรรมเนียม ค่าจ้างเหมาบริการ ค่าถ่ายเอกสาร ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก ค่าพาหนะ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่น เป็นต้น
 ค. หมวดค่าวัสดุ คือ รายจ่าย เพื่อซื้อสิ่งของ ซึ่งโดยสภาพ ย่อมสิ้นเปลือง เปลี่ยน หรือสลายตัว ในระยะเวลาอันสั้น รวมทั้งสิ่งของ ที่ซื้อมา เพื่อการบำรุงรักษา หรือซ่อมแซม ทรัพย์สิน เช่น ค่าสารเคมี ค่าเครื่องเขียน และแบบพิมพ์ ค่าเครื่องแก้ว และอุปกรณ์ไม่ถาวร ฟิลม์ อ๊อกซิเจน เป็นต้น
 ง. หมวดค่าครุภัณฑ์ คือ รายจ่าย เพื่อซื้อของ ซึ่งตามปกติ มีลักษณะ คงทนถาวร มีอายุการใช้ยืนนาน โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว มีบางแหล่งทุน ไม่อนุญาต ให้ใช้หมวดนี้ นอกจาก มีความจำเป็นจริง ๆ ซึ่งต้องเสนอ ให้พิจารณาเป็นราย ๆ ไป
    การคิดงบประมาณ ต้องพิจารณาเงื่อนไข ของแต่ละแหล่งทุน ว่ามีระเบียบ ในเรื่องนี้ อย่างไรบ้าง เพราะแหล่งทุน แต่ละแห่ง มักจะมีระเบียบต่าง ๆ กัน
    http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:r-tPEABXNVgJ:www.imd.co.th/function.php%3Fid%3Dknowledge-8+&cd=3&hl=th&ct=clnk&gl=th ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า งบประมาณ (Budgeting) คือ การวางแผนการที่คาดว่าจะต้องจ่าย โดยการคิดล่วงหน้าและแสดงข้อมูลออกมาเป็นตัวเลข และอาจแสดงออกมาในรูปของตัวเงิน จำนวนชั่วโมงในการทำงาน จำนวนผลิตภัณฑ์จำนวน ชั่วโมงเครื่องจักร ค่าสึกหรอ ค่าโสหุ้ย เป็นต้น

ความสำคัญของงบประมาณ
ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมต้นทุนโครงการ ตลอดจนแผนงานตั้งแต่ในระดับโครงการจนถึงการบริหารจัดการบริษัท และใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายบริหาร ทำให้มีประสิทธิภาพในการวางแผนทางการเงินเนื่องจากเป็นแผนงานที่แสดงออกในลักษณะเชิงปริมาณจะที่เกิดขึ้นในเวลาที่กำหนด เช่น รายสัปดาห์ รายเดือน รายไตรมาส หรือ รายปี โดยทั่วไปงบประมาณจะจัดทำขึ้นปีละครั้ง จึงเรียกว่า งบประมาณประจำปี โดยปีงบประมาณมักจะเป็นไปตามรอบบัญชีของบริษัท เช่น เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมและสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม เป็นต้น ส่วนของภาครัฐจะเริ่มปีงบประมาณในวันที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดปีงบประมาณในวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไป งบประมาณจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวางแผน กำหนดวัตถุประสงค์ และเป้าหมายในการดำเนินงานทางธุรกิจ นอกจากนี้ยังสามารถนำงบประมาณไปใช้ในการควบคุมแผนงานก็จะช่วยให้ฝ่ายบริหารสามารถติดตามผลการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานได้อย่างดี                                                                                                                                                                         ระบบงบประมาณแบบแผนงาน 
   งบประมาณแบบแผนงาน (Planning Program Budgeting : PPB หรือ Planning Program Budgeting System : PPBS) คือ การจัดเตรียมงบประมาณจากการเริ่มต้นด้วยการวางแผนงานที่จะให้การใช้จ่ายงบประมาณมีผลสำเร็จ ทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลไปพร้อมๆ กัน (Efficiency and Effectiveness) ซึ่งมีจุดเด่นในการวางแผนระยะยาว ตลอดจนการมุ่งบรรลุวัตถุประสงค์อย่างต่อเนื่อง และสามารถมีการจัดเตรียมงบต่อเนื่องที่ใช้ในการบริหารจัดการระยะยาวอีกด้วย เป็นการบริหารงานแบบครบองค์ไม่ใช่ดูแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งของโครงการแต่ดูครอบคลุมภาพรวมโครงการในทุกส่วนนั่นเอง
      http://mbaru.blogspot.com/2010/01/blog-post_5112.html ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า งบประมาณ คือ รายละเอียดของแผนการดำเนินงานในการจัดหาและใช้จ่ายเงินและทรัพยากรอื่น ๆ สำหรับชั่วระยะเวลาหนึ่ง งบประมาณเป็นแผนงานในอนาคตที่แสดงเป็นตัวเลข กิจการใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือในการควบคุมการดำเนินงาน เรียกว่า การควบคุมโดยงบประมาณ (Budgetary Control)   งบประมาณหลัก (Master Budget ) คืองบประมาณที่รวบรวมแผนงานและเป้าหมายในอนาคตทั้งหมดของกิจการในด้านการขาย การผลิต การจำหน่าย และการเงิน งบประมาณหลักประกอบด้วยงบประมาณดำเนินงาน ( Operating Budget) และงบประมาณการเงิน ( Financial Budget ) 
สรุป                                                                                                               
   งบประมาณ คือ รายละเอียดของแผนการดำเนินงานในการจัดหาและใช้จ่ายเงินและทรัพยากรอื่น ๆ สำหรับชั่วระยะเวลาหนึ่ง งบประมาณเป็นแผนงานในอนาคตที่แสดงเป็นตัวเลข กิจการใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือในการควบคุมการดำเนินงาน เรียกว่า การควบคุมโดยงบประมาณ (Budgetary Control)   งบประมาณหลัก (Master Budget ) คืองบประมาณที่รวบรวมแผนงานและเป้าหมายในอนาคตทั้งหมดของกิจการในด้านการขาย การผลิต การจำหน่าย และการเงิน งบประมาณหลักประกอบด้วยงบประมาณดำเนินงาน ( Operating Budget) และงบประมาณการเงิน ( Financial Budget )  ซึ่งในการทำวิจัย ควรแยกออกเป็น หมวด ๆ
  ก. หมวดบุคลากร โดยระบุว่า ต้องการบุคลากร ประเภทไหน มีคุณวุฒิ หรือความสามารถ อะไร จำนวนเท่าไร จะจ้าง ในอัตราเท่าไร เป็นระยะเวลาเท่าไร
  ข. หมวดค่าใช้สอย เป็นรายจ่าย เพื่อให้ได้มา ซึ่งบริการใด ๆ เช่น ค่าสื่อสาร ค่าธรรมเนียม ค่าจ้างเหมาบริการ ค่าถ่ายเอกสาร ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก ค่าพาหนะ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่น เป็นต้น
  ค. หมวดค่าวัสดุ คือ รายจ่าย เพื่อซื้อสิ่งของ ซึ่งโดยสภาพ ย่อมสิ้นเปลือง เปลี่ยน หรือสลายตัว ในระยะเวลาอันสั้น รวมทั้งสิ่งของ ที่ซื้อมา เพื่อการบำรุงรักษา หรือซ่อมแซม ทรัพย์สิน เช่น ค่าสารเคมี ค่าเครื่องเขียน และแบบพิมพ์ ค่าเครื่องแก้ว และอุปกรณ์ไม่ถาวร ฟิลม์ อ๊อกซิเจน เป็นต้น
  ง. หมวดค่าครุภัณฑ์ คือ รายจ่าย เพื่อซื้อของ ซึ่งตามปกติ มีลักษณะ คงทนถาวร มีอายุการใช้ยืนนาน โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว มีบางแหล่งทุน ไม่อนุญาต ให้ใช้หมวดนี้ นอกจาก มีความจำเป็นจริง ๆ ซึ่งต้องเสนอ ให้พิจารณาเป็นราย ๆ ไป  
อ้างอิง
  เว็บไซต์:http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2556.
  เว็บไซต์:http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:r-tPEABXNVgJ:www.imd.co.th/function.php%3Fid%3Dknowledge-8+&cd=3&hl=th&ct=clnk&gl=th.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2556.
  เว็บไซต์:http://mbaru.blogspot.com/2010/01/blog-post_5112.html.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2556.

19.การบริหารงานวิจัยและตารางการปฏิบัติงาน (Administration Benefits & Application)

http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า การบริหารงานวิจัย คือ กิจกรรมที่ทำให้งานวิจัยนั้น สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยมีการวางแผน (planning) ดำเนินงานตามแผน (implementation) และประเมินผล (evaluation)
ในการเขียนโครงร่างการวิจัย ควรมีผลการดำเนินงาน ตั้งแต่เริ่มแรก จนเสริจสิ้นโครงการ เป็นขั้นตอน ดังนี้
1. วิเคราะห์ปัญหาและกำหนดวัตถุประสงค์
2. กำหนดกิจกรรม (activities) ต่าง ๆ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งเอาไว้ เช่น
    - ขั้นเตรียมการ (Preparatory Phase)
        - ติดต่อเพื่อขออนุมัติดำเนินการ 
        - ติดต่อผู้นำชุมชน
        - การเตรียมชุมชน
        - การคัดเลือกผู้ช่วยนักวิจัย
        - การเตรียมเครื่องมือที่จะใช้ในการสำรวจ
        - การอบรมผู้ช่วยนักวิจัย
        - การทดสอบเครื่องมือในการสำรวจ
        - การแก้ไขเครื่องมือในการสำรวจ
     - ขั้นปฏิบัติงาน (Implementation Phase)
        - ขั้นการวิเคราะห์ข้อมูล
        - ขั้นการเขียนรายงาน
3. ทรัพยากร (resources) ที่ต้องการ ของแต่ละกิจกรรม รวมทั้งเวลาที่ใช้ ในแต่ละขั้นตอน ทรัพยากรเหล่านั้น ที่มีอยู่แล้ว มีอะไรบ้าง และมีอะไร ที่ต้องการเสนอขอ จำนวนเท่าใด
4. การดำเนินงาน (Implementation) ต้องตัดสินใจ เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การจัดสรรงบประมาณ และการรวบรวมข้อมูล
สำหรับการบริหารงานบุคคล จำเป็นต้องดำเนินการวางแผนกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับ
ก. การจัดองค์กร (Organizing) เช่น การกำหนดหน้าที่ ของคณะผู้ร่วมวิจัย แต่ละคน ให้ชัดเจน การประสานงาน การสรรหา และการพัฒนาบุคคลากร เป็นต้น
ข. การสั่งงาน (Directing) ได้แก่ การมองหมายงาน การควบคุม (control) เป็นต้น
ค. การควบคุมการจัดองค์กร (Organization Control) นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับการดำเนินงาน เพื่อใช้ในการ สั่งการ และควบคุม ภาพของงานต่อไป โดยอาจทำเป็น แผนภูมิการสั่งการ (chain of command) เพื่อวางโครงสร้าง ของทีมงานวิจัย กำหนดขอบเขตหน้าที่ ตลอดจนติดตามประเมินผล ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ และ/หรือ ทำเป็นแผนภูมิเคลื่อนที่ (flow chart)
ง. การควบคุมโครงการ (Project Control) มีได้หลายวิธี เช่น ทำเป็นตารางปฏิบัติงาน (time schedule) ซึ่งเป็น ตารางกำหนด ระยะเวลา ในการปฏิบัติงาน ของแต่ละกิจกรรม เพื่อช่วยให้ การควบคุม เวลา และแรงงาน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และอาจ ช่วยกระตุ้นให้ ผู้วิจัย ทำเสร็จทันเวลา ซึ่งปกติจะใช้ Gantt’s chart
Gantt’s chart จะดูความสัมพันธ์ ระหว่างกิจกรรม ที่จะปฏิบัติ และระยะเวลา ของแต่ละกิจกรรม โดยแนวนอน จะเป็น ระยะเวลา ที่ใช้ ของแต่ละ กิจกรรม ส่วนแนวตั้ง จะเป็น กิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้ กำหนดไว้ จากนั้น จึงใช้ แผนภูมิแท่ง (bar chart) ในการแสดง ความสัมพันธ์นี้ 
จ. การนิเทศงาน (Supervising) ได้แก่ การแนะนำ ดูแล แก้ไข ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของการควบคุมงาน ให้มีประสิทธิภาพนั่นเอง
     เสนาะ ติเยาว์ (2544 : 1) ได้กล่าวไว้ว่า การบริหารงานวิจัย คือ กระบวนการทำงานกับคนและโดยอาศัยคน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งแยกตามสาระของความหมายนี้ได้ 5 ลักษณะ 
1. การบริหารเป็นการทำงานกับคนและโดยอาศัยคน
2. การบริหารทำให้งานบรรลุเป้าหมายขององค์การ
3. การบริหารเป็นความสมดุลระหว่างประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
4. การบริหารเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดและการบริหารจะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
5. การบริหารที่จะประสบผลสำเร็จจะต้องสามารถคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง
       พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว (2545 : 728) การบริหารจัดการเป็นกลไกสำคัญในการดำเนินงานการวิจัยให้ประสบความสำเร็จ ประกอบกับสิ่งอำนวยความสะดวก คือ โครงการพื้นฐานต้องพอเพียงซึ่งหมายถึงงบประมาณการวิจัย นักวิจัยหน่วยงานเป็นสิ่งจำเป็นในการทำให้ระบบการวิจัยดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากมีการบริหารจัดการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูง
สรุป
     การบริหารงานวิจัยและตารางการปฏิบัติงาน (Administration Benefits & Application)เป็นกลไกสำคัญในการดำเนินงานการวิจัยให้ประสบความสำเร็จ ประกอบกับสิ่งอำนวยความสะดวก คือ โครงการพื้นฐานต้องพอเพียงซึ่งหมายถึงงบประมาณการวิจัย นักวิจัยหน่วยงานเป็นสิ่งจำเป็นในการทำให้ระบบการวิจัยดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากมีการบริหารจัดการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งแยกตามสาระของความหมายนี้ได้ 5 ลักษณะ 
1. การบริหารเป็นการทำงานกับคนและโดยอาศัยคน
2. การบริหารทำให้งานบรรลุเป้าหมายขององค์การ
3. การบริหารเป็นความสมดุลระหว่างประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
4. การบริหารเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดและการบริหารจะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
5. การบริหารที่จะประสบผลสำเร็จจะต้องสามารถคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง 
ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้
1. วิเคราะห์ปัญหาและกำหนดวัตถุประสงค์
2. กำหนดกิจกรรม (activities) ต่าง ๆ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งเอาไว้
3. ทรัพยากร (resources) ที่ต้องการ ของแต่ละกิจกรรม รวมทั้งเวลาที่ใช้ ในแต่ละขั้นตอน ทรัพยากรเหล่านั้น ที่มีอยู่แล้ว มีอะไรบ้าง และมีอะไร ที่ต้องการเสนอขอ จำนวนเท่าใด
4. การดำเนินงาน (Implementation) ต้องตัดสินใจ เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การจัดสรรงบประมาณ และการรวบรวมข้อมูล
อ้างอิง
      เว็บไซต์:http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 31ธันวาคม 2555.
  เสนาะ ติเยาว์(2544).หลักการบริหาร.พิมพ์ครั้งที่2.กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
        พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว(2545).ศาสตร์แห่งการวิจัยทางการเมืองและสังคม.พิมพ์ครั้งที่ 5 กรุงเทพมหานคร : สมาคมรัฐศาสตร์แห่งประเทศไทย.

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

18.อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการวิจัยและมาตรการในการแก้ไข

      http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการวิจัยและมาตรการในการแก้ไข การทำวิจัย ต้องพยายามหลักเลี่ยงอคติ และความคลาดเคลื่อน ที่อาจจะเกิดขึ้น จากการวิจัยนั้น ให้มากที่สุด เพื่อให้ผลการวิจัย ใกล้เคียงกับความเป็นจริง โดยใช้รูปแบบการวิจัย, ระเบียบวิธีวิจัย และสถิติที่หมาะสม แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว อาจมีข้อจำกัดต่าง ๆ เกิดขึ้น ดังนั้น การคำนึงเฉพาะ ความถูกต้องอย่างเดียว อาจไม่สามารถ ทำการวิจัยได้ กรณีดังกล่าว นักวิจัย อาจจำเป็นต้องมี การปรับแผนบางอย่าง เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ แต่สิ่งสำคัญก็คือ ผู้วิจัย ต้องตระหนัก หรือรู้ถึงขีดข้อจำกัด ดังกล่าวนั้น และมีการระบุ ไว้ในโครงร่าง การวิจัยด้วย ไม่ใช่แกล้งทำเป็นว่า ไม่มีข้อจำกัดเลย จากนั้น จึงคิดหามาตรการในการแก้ไข อุปสรรคดังกล่าว อย่างไรก็ตาม อย่าให้ "ความเป็นไปได้" (feasibility) มาทำลาย ความถูกต้อง เสียหมด เพราะจะส่งผลให้ งานวิจัยเชื่อถือไม่ได้
ยกตัวอย่าง เช่น ต้องการประเมินผล ของโครงการหนึ่ง ซึ่งในแง่รูปแบบ การวิจัยที่เหมาะสมแล้ว ควรใช้ "การวิจัยเชิงทดลองแบบเต็มรูป" (full experimental design) หรือการวิจัยเชิงทดลองที่แท้จริง (true experimental design) หรือ การวิจัยเชิงทดลองแบบคลาสสิค ซึ่งมีการกำหนด (assign) ให้ตัวอย่าง (sample) ไปอยู่กลุ่มทดลอง หรือกลุ่มควบคุมโดยวิธีสุ่ม แต่บังเอิญ ในทางปฏิบัติ ทำไม่ได้ เนื่องจากปัญหาทางจริยธรรม ก็อาจจำเป็นต้อง ใช้รูปแบบการวิจัย แบบกึ่งกลางการทดลอง (quas-experimetal design) โดยอาจจะวัดก่อนและหลัง การมีโครงการนี้ (before and after) หรือการออกแบบ การติดตามระยะยาว (time series design) โดยมีการวัดหลาย ๆ ครั้ง ทั้งก่อนและหลัง มีโครงการนี้
       http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:L-VKB59W-1oJ:cptd.chandra.ac.th/%255Cselfstud%255Cresearch%255Cmjob9.htm+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า  อุปสรรคของการวิจัยดำเนินงาน   ถึงแม้ว่าการวิจัยดำเนินงานจะมีประโยชน์ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานต่างๆได้มากมายก็ตาม แต่ก็มีอุปสรรคเช่นเดียวกับวิทยาการด้านอื่นๆ เมื่อจะนำไปประยุกต์ใช้งาน อุปสรรคของงานการวิจัยดำเนินงานเป็นไปในรูปแบบที่ว่า บุคคลที่มีบทบาทในวิชาชีพดังกล่าวมักต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ไม่รู้และไม่ยอมรับหลักการที่เสนอให้ ตลอดจนต้องเกี่ยวข้องไปถึงความเข้าใจของเขาด้วย การไม่ยอมรับรู้อาจจะมีสาเหตุจากความไม่เข้าใจในวิธีการ หรือการไม่เห็นผลของการใช้วิธีการของการวิจัยดำเนินงานไปใช้ ทั้งนี้เป็นเพราะว่า การวิจัยดำเนินงานมีลักษณะที่ต้องใช้เวลาในการศึกษาปัญหาและหาวิธีการแก้ปัญหาจนกว่าจะแก้ปัญหานั้นได้ ซึ่งจะต้องใช้เวลาและยากที่จะควบคุมการดำเนินงานและประเมินผลงานนั้นๆ การที่ผู้ดำเนินการขาดความรู้ที่แท้จริงในปัญหาก็เป็นสาเหตุของความล้มเหลวของงานด้วยนอกจากนี้การขาดคุณสมบัติในการประชาสัมพันธ์ทำให้ขาดการรับรู้ต่อผลลัพธ์ที่ดี โดยวิธีการนี้ความล้มเหลวของประชาสัมพันธ์จะเกิดขึ้นจากลักษณะของรายงานที่ทำขึ้น ซึ่งมักอยู่ในรูปแบบการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ และเหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในปัญหานั้นจริงๆเท่านั้น
      ภิรมย์ กมลรัตนกุล(2542:8) ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า การทำวิจัย ต้องพยายามหลีกเลี่ยงอคติ และความคลาดเคลื่อน ที่อาจจะเกิดขึ้น จากการวิจัยนั้น ให้มากที่สุด เพื่อให้ผลการวิจัย ใกล้เคียงกับความเป็นจริง โดยใช้รูปแบบการวิจัยระเบียบวิธีวิจัย และสถิติที่เหมาะสม แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว อาจมีข้อจำกัดต่าง ๆ เกิดขึ้น ดังนั้น การคำนึงเฉพาะ ความถูกต้องอย่างเดียว อาจไม่สามารถ ทำการวิจัยได้
 แนวทางการแก้ไข
    นักวิจัย อาจจำเป็นต้องมี การปรับแผนบางอย่าง เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ แต่สิ่งสำคัญก็คือ ผู้วิจัย ต้องตระหนัก หรือรู้ถึงขีดข้อจำกัด ดังกล่าวนั้น และมีการระบุ ไว้ในโครงร่าง การวิจัยด้วย ไม่ใช่แกล้งทำเป็นว่า ไม่มีข้อจำกัดเลย จากนั้น จึงคิดหามาตรการ อย่าให้ "ความเป็นไปได้" มาทำลาย ความถูกต้อง เสียหมด เพราะจะส่งผลให้ งานวิจัยเชื่อถือไม่ได้ 
สรุป
   อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการวิจัยและมาตรการในการแก้ไข การทำวิจัย ต้องพยายามหลักเลี่ยงอคติ และความคลาดเคลื่อน ที่อาจจะเกิดขึ้น จากการวิจัยนั้น ให้มากที่สุด เพื่อให้ผลการวิจัย ใกล้เคียงกับความเป็นจริง โดยใช้รูปแบบการวิจัย, ระเบียบวิธีวิจัย และสถิติที่หมาะสม แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว อาจมีข้อจำกัดต่าง ๆ เกิดขึ้น ดังนั้น การคำนึงเฉพาะ ความถูกต้องอย่างเดียว อาจไม่สามารถ ทำการวิจัยได้ กรณีดังกล่าว นักวิจัย อาจจำเป็นต้องมี การปรับแผนบางอย่าง เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ แต่สิ่งสำคัญก็คือ ผู้วิจัย ต้องตระหนัก หรือรู้ถึงขีดข้อจำกัด ดังกล่าวนั้น และมีการระบุ ไว้ในโครงร่าง การวิจัยด้วย ไม่ใช่แกล้งทำเป็นว่า ไม่มีข้อจำกัดเลย จากนั้น จึงคิดหามาตรการในการแก้ไข อุปสรรคดังกล่าว อย่างไรก็ตาม อย่าให้ "ความเป็นไปได้" (feasibility) มาทำลาย ความถูกต้อง เสียหมด เพราะจะส่งผลให้ งานวิจัยเชื่อถือไม่ได้ 
แนวทางการแก้ไข
    นักวิจัย อาจจำเป็นต้องมี การปรับแผนบางอย่าง เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ แต่สิ่งสำคัญก็คือ ผู้วิจัย ต้องตระหนัก หรือรู้ถึงขีดข้อจำกัด ดังกล่าวนั้น และมีการระบุ ไว้ในโครงร่าง การวิจัยด้วย ไม่ใช่แกล้งทำเป็นว่า ไม่มีข้อจำกัดเลย จากนั้น จึงคิดหามาตรการ อย่าให้ "ความเป็นไปได้" มาทำลาย ความถูกต้อง เสียหมด เพราะจะส่งผลให้ งานวิจัยเชื่อถือไม่ได้ 
อ้างอิง
  เว็บไซต์:http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 30ธันวาคม 2555.
  เว็บไซต์:http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:L-VKB59W-1oJ:cptd.chandra.ac.th/%255Cselfstud%255Cresearch%255Cmjob9.htm+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2555.
   ภิรมย์ กมลรัตนกุล.(2542).หลักเบื้องต้นในการทำวิจัย. กรุงเทพมหานคร : เท็กซ์แอนด์เจอร์นัลพับลิเคชั่น จำกัด.

17.ผลหรือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย (expected benefits and application)

     http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า ผลหรือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย (expected benefits and application)  เป็นการย้ำ ถึงความสำคัญ ของงานวิจัยนี้ โดยกล่าวถึง ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ จากการวิจัย อย่างชัดเจน ให้ครอบคลุมทั้ง ผลในระยะสั้น และระยะยาว ทั้งผลทางตรง และทางอ้อม และควรระบุในรายละเอียดว่า ผลดังกล่าว จะตกกับใครเป็นสำคัญ ยกตัวอย่าง เช่น โครงการวิจัยเรื่อง การฝึกอบรมอาสาสมัคร ระดับหมู่บ้าน ผลในระยะสั้น ก็อาจจะได้แก่ จำนวนอาสาสมัครผ่านการอบรมในโครงนี้ ส่วนผลกระทบ (impact) โดยตรง ในระยะยาว ก็อาจจะเป็น คุณภาพชีวิตของคนในชุมชนนั้น ที่ดีขึ้น ส่วนผลทางอ้อม อาจจะได้แก่ การกระตุ้นให้ประชาชน ในชุมชนนั้น มีส่วนร่วม ในการพัฒนาหมู่บ้าน ของตนเอง
     http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:2N5IGMGT878J:www.gotoknow.org/posts/494556+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า ประโยชน์ของผลการวิจัย เขียนให้สอดคล้องกับวัตุประสงค์
    1. เขียนให้ชัดเจนว่าให้ประโยชน์ออกมาในรูปใด และเป็นผลโดยตรงจากเรื่องที่วิจัย เช่น.. ประโยชน์วิจัยแล้วได้อะไร ตกแก่ใคร   นำไปใช้ทำอะไร
    2. เขียนบรรยายเป็นข้อๆ ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการวิจัย(วัตถุประสงค์ของการวิจัย)
    3. ข้อควรระวัง คือ ไม่ควรขยายความสำคัญของผลการวิจัยให้กว้างเกินความเป็นจริง
    http://www.unc.ac.th/elearning/elearning1/Duddeornweb/impact1.htm ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า  ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย เป็นความสำคัญของการวิจัยที่ผู้วิจัยพิจารณาว่าการวิจัยเรื่องนั้นทำให้ทราบผลการวิจัยเรื่องอะไร และผลการวิจัยนั้นมีประโยชน์ต่อใคร อย่างไร เช่น การระบุประโยชน์ที่เกิดจากการนำผลการวิจัยไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ หรือนำไปเป็น แนวทางในการปฏิบัติ หรือแก้ปัญหา หรือพัฒนาคุณภาพ หลักในการเขียนมีดังนี้
1. ระบุประโยชน์ที่อาจเกิดจากผลที่ได้จากการวิจัย
2. สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และอยู่ในขอบเขตของการวิจัยที่ได้ศึกษา
3. ในกรณีที่ระบุประโยชน์มากกว่า 1 ประการ ควรระบุเป็นข้อ
4. เขียนด้วยข้อความสั้น กะทัดรัด ชัดจน
5. การระบุนั้นผู้วิจัยต้องตระหนักว่ามีความเป็นไปได้

ยกตัวอย่างเช่น
วัตถุประสงค์ 
1. เพื่อศึกษาความวิตกกังวลของผู้ป่วยมะเร็ง

2. เพื่อศึกษาผลของการให้การพยาบาล อย่างมีแบบแผนต่อความวิตกกังวลของผู้ป่วยมะเร็ง
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย
1. ได้รับความรู้เกี่ยวกับความวิตกกังวลของผู้ป่วยมะเร็ง
2. ได้แนวทางในการลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งอาจพิจารณานำไปใช้ในการพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็ง

การทำวิจัยทุกเรื่อง ผู้ทำวิจัยว่าผลการวิจัยจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไร ประโยชน์ของการวิจัยมีได้หลายลักษณะ เช่น การนำผลการวิจัยไปใช้ในการกำหนดนโยบาย ปรับปรุงการปฏิบัติงาน ใช้เป็นแนวทางการตัดสินใจ การแก้ปัญหา หรือทำวิจัยต่อไป 
สรุป
    ผลหรือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย (expected benefits and application)  เป็นการย้ำ ถึงความสำคัญ ของงานวิจัยนี้ โดยกล่าวถึง ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ จากการวิจัย อย่างชัดเจน ให้ครอบคลุมทั้ง ผลในระยะสั้น และระยะยาว ทั้งผลทางตรง และทางอ้อม และควรระบุในรายละเอียดว่า ผลดังกล่าว จะตกกับใครเป็นสำคัญ หลักในการเขียนมีดังนี้
1. ระบุประโยชน์ที่อาจเกิดจากผลที่ได้จากการวิจัย
2. สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และอยู่ในขอบเขตของการวิจัยที่ได้ศึกษา
3. ในกรณีที่ระบุประโยชน์มากกว่า 1 ประการ ควรระบุเป็นข้อ
4. เขียนด้วยข้อความสั้น กะทัดรัด ชัดจน
5. การระบุนั้นผู้วิจัยต้องตระหนักว่ามีความเป็นไปได้

อ้างอิง
 เว็บไซต์:http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 29ธันวาคม 2555.
เว็บไซต์:http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:2N5IGMGT878J:www.gotoknow.org/posts/494556+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th. [ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2555.
 เว็บไซต์:http://www.unc.ac.th/elearning/elearning1/Duddeornweb/impact1.htm.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2555.

16.ข้อจำกัดในการวิจัย(Limitation)/ขอบเขตการทำวิจัย

       http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:_Gj5CxV19NEJ:www.gotoknow.org/posts/399983+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th ได้กล่าวและสรุปไว้ว่า การเขียนขอบเขตการวิจัย เนื่องจากการทำวิจัยในแต่ละเรื่องเราไม่สามารถที่จะศึกษาได้ครอบคลุมในทุกประเด็น การกำหนดขอบเขตของการวิจัย จะทำให้งานวิจัยมีความชัดเจน และเป็นไปตามวัตถุประสงค์การวิจัยที่ได้กำหนดเอาไว้ ซึ่งในส่วนของขอบเขตการวิจัยนั้น จะประกอบด้วย            
    1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งผู้วิจัยต้องระบุว่าประชากรเป็นใคร ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวนเท่าไร และกลุ่มตัวอย่างได้มาโดยวิธีใด
    2.ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา ผู้วิจัยต้องระบุตัวแปรอิสระและตัวแปรตามที่ใช้ในการศึกษาทั้งหมด
    ในงานวิจัยบางเรื่องอาจจะระบุขอบเขตด้านเนื้อหาเข้าไปด้วย เพื่อให้มองเห็นของเขตในการวิจัยได้มากขึ้น การเขียนขอบเขตการวิจัยนี้ ผู้วิจัยจะต้องครอบคลุมว่าจะศึกษาตัวแปรอะไรบ้าง ซึ่งควรสอดคล้องกับกรอบความคิดของการวิจัย ( Research  framework ) ควรมีการระบุเหตุผลที่เรานำเอาตัวแปรเหล่านั้นเข้ามาศึกษา ในกรอบความคิด ไม่ควรระบุแต่ชื่อตัวแปรที่ศึกษาว่าคืออะไรเท่านั้น แต่ต้องขยายความให้เห็นแนวคิดเบื้องหลัง เพื่อให้ผู้อ่านรายงานการวิจัยเข้าใจวิธีคิดหรือทฤษฎีที่ผู้วิจัยใช้เป็นฐานในการกำหนดกรอบแนวคิด    
     ส่วนขอบเขตประชากรนั้น  ผู้วิจัยต้องอธิบายว่ากลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องจริง  แล้วครอบคลุมคนกลุ่มใด   ทำไมเราจึงสนใจที่จะศึกษาเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
       http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:WEIWI9QQ16YJ:www.oknation.net/blog/manrit/2007/09/30/entry-1+&cd=5&hl=th&ct=clnk&gl=th ได้กล่าวและสรุปไว้ว่า ขอบเขตในการวิจัย ประกอบด้วย
1. ขอบเขตการวิจัยที่ต้องกำหนด
  1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย
      ก. ลักษณะของประชากร
      ข. จำนวนประชากร (ถ้าหาได้)
    1.2 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย
      ก. ขนาดของกลุ่มเป้าหมาย
      ข. วิธีเลือกกลุ่มเป้าหมาย
   1.3  ตัวแปรที่ศึกษา
     1.3.1  ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) คือ ตัวแปรที่เป็นเหตุ
     1.3.2 ตัวแปรตาม (Dependent Variable) คือ ตัวแปรที่เป็นผล
  2. ขอบเขตเพิ่มเติม (กรณีงานวิจัยเชิงทดลอง)
     ก. ขอบเขตของเนื้อหาที่ใช้ในการทดลอง
     ข. ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง
        http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:Vb-BpUk6Pz8J:m15a4ca.multiply.com/journal/item/11+&cd=5&hl=th&ct=clnk&gl=th ได้กล่าวและสรุปไว้ว่า ข้อจำกัดของการวิจัยทางการศึกษา
  1. ความซับซ้อนของเนื้อหาหรือปัญหาที่จะศึกษา
  2. ความยากในการรวบรวมข้อมูล
  3. ความยากในการทำซ้ำ
 4. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักวิจัยและสมาชิกในกลุ่มตัวอย่าง หรือกลุ่มประชากรมีผลก ระทบต่อผลการวิจัย
 5. ความยากในการควบคุมตัวแปรเกิน
 6. เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลทางการศึกษา มีความแม่นยำและเชื่อถือได้ น้อยกว่าเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์
สรุป
      เนื่องจากการทำวิจัยในแต่ละเรื่องเราไม่สามารถที่จะศึกษาได้ครอบคลุมในทุกประเด็น  การกำหนดขอบเขตของการวิจัย  จะทำให้งานวิจัยมีความชัดเจน  และเป็นไปตามวัตถุประสงค์การวิจัยที่ได้กำหนดเอาไว้  ซึ่งในส่วนของขอบเขตการวิจัยนั้น  จะประกอบด้วย          
 1. ขอบเขตการวิจัยที่ต้องกำหนด
  1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย
      ก. ลักษณะของประชากร
      ข. จำนวนประชากร (ถ้าหาได้)
    1.2 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย
      ก. ขนาดของกลุ่มเป้าหมาย
      ข. วิธีเลือกกลุ่มเป้าหมาย
   1.3  ตัวแปรที่ศึกษา
     1.3.1  ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) คือ ตัวแปรที่เป็นเหตุ
     1.3.2 ตัวแปรตาม (Dependent Variable) คือ ตัวแปรที่เป็นผล
  2. ขอบเขตเพิ่มเติม (กรณีงานวิจัยเชิงทดลอง)
    ก. ขอบเขตของเนื้อหาที่ใช้ในการทดลอง
    ข. ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง
อ้างอิง
 เว็บไซต์:http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:_Gj5CxV19NEJ:www.gotoknow.org/posts/399983+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2555.
 เว็บไซต์:http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:WEIWI9QQ16YJ:www.oknation.net/blog/manrit/2007/09/30/entry-1+&cd=5&hl=th&ct=clnk&gl=th.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2555.
 เว็บไซต์:http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:Vb-BpUk6Pz8J:m15a4ca.multiply.com/journal/item/11+&cd=5&hl=th&ct=clnk&gl=th.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2555.

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

15.ปัญหาทางจริยธรรม(Ethical Considerations)

     http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า ปัญหาทางจริยธรรม(Ethical Considerations) ในการวิจัยในมนุษย์ จะต้องชอบด้วยมนุษยธรรม จริยธรรม และไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย ต้องมีการวิเคราะห์ เปรียบระหว่างประโยชน์ และโทษ ที่อาจจะเกิดขึ้น จากการวิจัยนั้น ๆ รวมทั้งหามาตรการ ในการคุ้มครองผู้ถูกทดลอง ค้นหาผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งหาวิธีการ ในการป้องกัน หรือแก้ไข เมื่อมีอันตรายเกิดขึ้น ตลอดจนการหยุดการทดลองทันที เมื่อพบว่าการทดลองนั้น อาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้
การประเมินปัญหาจริยธรรม มีแนวคิดบางประการ ที่สมควรนำมาพิจารณาดังนี้
  1.งานวิจัยนั้นควรทำหรือไม่ ทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะมาสนับสนุนหรือคัดค้าน คำถามการวิจัย รูปแบบและระเบียบวิธีวิจัย

  2.การวิจัยนี้จำเป็นต้องทำในคนหรือไม่ ถ้าจำเป็นต้องทำ ผู้วิจัยมีหลักฐานการวิจัยในสัตว์ทดลอง หรือการวิจัยอื่น ๆ มายืนยันว่า ประสบผลสำเร็จตามสมควร หรือไม่
  3.การวิจัยนั้น คาดว่าจะเกิดผลดีมากกว่าผบเสียต่อตัวอย่างที่นำมาศึกษาหรือไม่
 4.ผู้วิจัยต้องมีความรู้ความสามารถในเรื่องที่จะทำวิจัยเป็นอย่างดี และสามารถอธิบายถึงผลดีและผลเสียต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการวิจัยนั้นได้
 5.ต้องได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร (informed consent) จากตัวอย่างที่นำมาศึกษา หรือผู้ปกครอง หรือผู้อนุบาล แล้วแต่กรณี โดยผู้วิจัย ต้องให้ข้อมูลที่ละเอียด และชัดเจนเพียงพอ ก่อนให้ผู้ถูกทดลอง เซ็นใบยินยอม เช่น
    ก. อธิบายถึงวัตถุประสงค์ และวิธีการที่จะใช้
    ข. อธิบายถึงประโยชน์ที่จะได้รับ และอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งผลข้างเคียงต่าง ๆ ความไม่สะดวกสบาย ที่อาจจะเกิดขึ้น ระหว่างการทดลองนั้น
    ค. ผู้ถูกทดลอง ต้องได้รับการยืนยันว่า มีสิทธิจะถอนตัวออกจากการศึกษา เมื่อไรก็ได้ โดยการถอนตัวนั้น จะไม่ก่อให้เกิดอคติ ในการได้รับการดูแล รักษาพยาบาลต่อไป 
    ง. ข้อมูลทั้งหลาย จะถูกเก็บเป็นความลับ
  6.ผู้วิจัยต้องรับผิดชอบ ในการดูแล แก้ไข อันตราย หรือผลเสียต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น แก่ผู้ทดลองโดยทันที และต้องปฏิบัติอย่างสุดความสามารถ ทั้งนี้ ต้องเตรียมอุปกรณ์จำเป็น และมีประสิทธิภาพ ในการช่วยเหลือให้ครบถ้วน
  7.จำนวนตัวอย่าง (simple size) ที่ใช้ ต้องใช้เพียงเท่าที่จำเป็น โดยคำนึงถึงระเบียบวิธีวิจัยที่กล่าวมาแล้ว
  8.ในกรณีที่มีการจ่ายค่าตอบแทนให้อาสาสมัคร ต้องระบุด้วยว่า ให้อย่างไร และเป็นจำนวนเท่าไร
โดยทั่วไป การวิจัยในมนุษย์ จำเป็นต้องส่งโครงร่างการวิจัย ให้คณะกรรมการจริยธรรม ของแต่ละสถาบัน หรือของกระทรวงฯ พิจารณา เพื่อขอความเห็นก่อนเสมอ
       http://www.gotoknow.org/posts/31016ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า จริยธรรมของการทำวิจัย โครงสร้างทางจริยธรรมและหลักเกณฑ์ทางด้านศีลธรรม คุณธรรม ที่เป็นที่ยอมรับของการทำวิจัย มีดังต่อไปนี้
1.สิทธิของบุคคล- ถ้าละเมิดอาจผิดกฎหมาย
2.หลักความยุติธรรม-ผลการวิจัยต้องให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ก่อให้เกิดความอคติต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
3.ความซื่อสัตย์ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย ต้องซื่อสัตย์ (ห้ามแต่งเติมตัวเลขเด็ดขาดครับ)
4.คำนึงถึงผลประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย ถ้าผลวิจัยมีความแม่นยำ จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้วิจัยถึงแม้ผลวิจัยจะออกมาให้แง่ลบ แต่ผู้วางแผนจะได้วางแผนงานล่วงหน้าได้อย่างถูกต้อง
กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยคือ ผุ้ว่าจ้างผู้วิจัย และผู้ตอบ  ลักษณะของแต่ละกลุ่มมีดังต่อไปนี้
     ผู้ว่าจ้าง ไม่โฆษณาเกินความเป็นจริงจากผลการวิจัย ไม่เผยแพร่ข้อมูลที่เป็นความลับจนกว่าจะได้รับอนุญาตจากผู้ที่เกี่ยวข้อง และรักษาข้อผูกมัดทางวิจัย เช่น หลังการวิจัย 10 ปีผู้วิจัยจึงจะสามารถขายข้อมูลได้
     ผู้วิจัย ต้องมีความรู้ในการทำวิจัย ไม่ควรนำเสนอข้อมูล ที่มีความคลาดเคลื่อนสูง ต้องนำเสนอผลตามข้อเท็จจริงไม่สร้างข้อมูลขึ้นเอง และไม่นำข้อมูลไปขายให้คนอื่นๆ
ผู้ตอบตอบตามความเป็นจริง มีอิสระในการตอบ ไม่ถูกบังคับหรือชักนำในการตอบ มีสิทธิในการปกปิดข้อมูลบางอย่าง เช่น ชื่อที่อยู่
     คุณสมบัติที่ดีของผู้วิจัย คือ มีความซื่อสัตย์มีความรู้ไม่มีอคติต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือ หัวข้อวิจัย,ไม่เอาความคิดส่วนตัวมาเป็นเครื่องตัดสินใจผลวิจัยยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น,เป็นคนช่างสังเกตละเอียดรอบคอบ มีความอดทน ตรงต่อเวลามีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี,และ รู้จักประหยัดใช้ทรัพยากรในการวิจัย
        http://www.google.com/url?sa=D&q=http://www.stc.arts.chula.ac.th/researchethics_chaichana.doc&usg=AFQjCNEvc8kltO8cVbOoT2eK-QJLoLYgOg  ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า การทำผิดพลาดทางจริยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิจัยนั้น ส่วนมากเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์มากกว่าที่จะเกิดจากเจตนาไม่ดี ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่พบบ่อยได้แก่ การไม่ตระหนักว่านอกเหนือจากปัญหาสุขภาพแล้วปัญหาเรื่องสิทธิก็สำคัญ เราเคยชินกับการให้การดูแลรักษาเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นหลัก ซึ่งในประเด็นนี้ บางกรณีเจตนาที่ดี ความเมตตากรุณาที่มีต่อผู้ป่วยอาจอยู่เหนือสิทธิของผู้ป่วยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง แต่ในกรณีของการวิจัยนั้นสิทธิของผู้เข้าร่วมวิจัยมีความสำคัญมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นการวิจัยใดก็ตามต้องถือว่าไม่ใช่การรักษา เพราะฉะนั้นผู้เข้าร่วมวิจัยมีสิทธิเต็มที่ในการเข้าหรือไม่เข้าร่วม ร่วมมือหรือถอนตัวได้ตลอดเวลา
      ความไม่รู้ที่พบบ่อยอีกประการหนึ่งก็คือ หลักจริยธรรมการทำวิจัยในมนุษย์ทั่วไป ซึ่งบางประเด็นได้รับความสำคัญน้อย เช่น การเคารพศักดิ์ศรีของผู้เข้าร่วมวิจัย (Respect for person) ซึ่งแสดงออกทางหนึ่งจากการยินยอมตามที่ได้บอกกล่าว (Informed consent) ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องผู้เข้าร่วมวิจัยจากความเสี่ยงในการถูกละเมิดสิทธิอันเป็นผลมาจากการเข้าร่วมวิจัย
 สรุป
     ปัญหาทางจริยธรรม(Ethical Considerations) ในการวิจัยในมนุษย์ จะต้องชอบด้วยมนุษยธรรม จริยธรรม และไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย ต้องมีการวิเคราะห์ เปรียบระหว่างประโยชน์ และโทษ ที่อาจจะเกิดขึ้น จากการวิจัยนั้น ๆ รวมทั้งหามาตรการ ในการคุ้มครองผู้ถูกทดลอง ค้นหาผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งหาวิธีการ ในการป้องกัน หรือแก้ไข เมื่อมีอันตรายเกิดขึ้น ตลอดจนการหยุดการทดลองทันที เมื่อพบว่าการทดลองนั้น อาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้
การประเมินปัญหาจริยธรรม มีแนวคิดบางประการ ที่สมควรนำมาพิจารณาดังนี้
   1.งานวิจัยนั้นควรทำหรือไม่ ทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะมาสนับสนุนหรือคัดค้าน คำถามการวิจัย รูปแบบและระเบียบวิธีวิจัย
   2.การวิจัยนี้จำเป็นต้องทำในคนหรือไม่  ถ้าจำเป็นต้องทำ ผู้วิจัยมีหลักฐานการวิจัยในสัตว์ทดลอง หรือการวิจัยอื่น ๆ มายืนยันว่า ประสบผลสำเร็จตามสมควร หรือไม่
   3.การวิจัยนั้น คาดว่าจะเกิดผลดีมากกว่าผบเสียต่อตัวอย่างที่นำมาศึกษาหรือไม่
   4.ผู้วิจัยต้องมีความรู้ความสามารถในเรื่องที่จะทำวิจัยเป็นอย่างดี และสามารถอธิบายถึงผลดีและผลเสียต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการวิจัยนั้นได้
  5.ต้องได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร (informed consent) จากตัวอย่างที่นำมาศึกษา หรือผู้ปกครอง หรือผู้อนุบาล แล้วแต่กรณี โดยผู้วิจัย ต้องให้ข้อมูลที่ละเอียด และชัดเจนเพียงพอ ก่อนให้ผู้ถูกทดลอง เซ็นใบยินยอม
 6.ผู้วิจัยต้องรับผิดชอบ ในการดูแล แก้ไข อันตราย หรือผลเสียต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น แก่ผู้ทดลองโดยทันที และต้องปฏิบัติอย่างสุดความสามารถ ทั้งนี้ ต้องเตรียมอุปกรณ์จำเป็น และมีประสิทธิภาพ ในการช่วยเหลือให้ครบถ้วน
 7.จำนวนตัวอย่าง (simple size) ที่ใช้ ต้องใช้เพียงเท่าที่จำเป็น โดยคำนึงถึงระเบียบวิธีวิจัยที่กล่าวมาแล้ว
 8.ในกรณีที่มีการจ่ายค่าตอบแทนให้อาสาสมัคร ต้องระบุด้วยว่า ให้อย่างไร และเป็นจำนวนเท่าไร
โดยทั่วไป การวิจัยในมนุษย์ จำเป็นต้องส่งโครงร่างการวิจัย ให้คณะกรรมการจริยธรรม ของแต่ละสถาบัน หรือของกระทรวงฯ พิจารณา เพื่อขอความเห็นก่อนเสมอ
 อ้างอิง
  เว็บไซต์:http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555.
  เว็บไซต์:  http://www.gotoknow.org/posts/31016.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555.
 เว็บไซต์:http://www.google.com/url?sa=D&q=http://www.stc.arts.chula.ac.th/researchethics_chaichana.doc&usg=AFQjCNEvc8kltO8cVbOoT2eK-QJLoLYgOg.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555.

14.การวิเคราะห์ข้อมูล(Data Analysis)

     http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า การวิเคราะห์ข้อมูล(Data Analysis) การเลือกใช้สถิติ จะต้องเหมาะสมกับคำถาม วัตถุประสงค์ และรูปแบบการวิจัย โดยสถิติจะช่วยหลีกเลี่ยง ความคลาดเคลื่อนแบบสุ่ม ในส่วนที่เกี่ยวกับ การวิเคราะห์ข้อมูล ควรให้รายละเอียดเกี่ยวกับ
   1. การสรุปข้อมูล (Summarization of Data) ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับ ชนิดของข้อมูลเชิงคุณภาพ (qualitaive data) หรือข้อมูลเชิงปริมาณ (quantitative data) 
   2. การนำเสนอข้อมูล (Data Presentation) เพื่อสื่อความหมาย ระหว่างนักวิจัย และผู้อ่านผลการวิจัย ทำให้เข้าใจได้ง่าย และเป็นการประหยัดเวลา ในการเขียนบรรยายผลที่ได้ การนำเสนอข้อมูล ต้องเลือกให้สอดคล้อง กับลักษณะของข้อมูลเช่นกัน 
   3. การทดสอบสมมติฐาน (ypothesis testing) โดยระถึง สถิติที่เหมาะสม ที่จะใช้ในการทดสอบสมมติฐานนั้น ทั้งนี้ ขึ้นกับปัจจัย 2 ประการ คือ ลักษณะการเปรียบเทียบ ระหว่างกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กัน) และการสรุปข้อมูล 
   4. ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น ข้อมูลขาดหายไป (missing data) ตัวอย่างไม่ให้ความร่วมมือ (non-complier) ผู้ป่วยออกจากการศึกษากลางคัน หรือผู้ป่วยเสียชีวิตด้วยโรคอื่น ที่ไม่เกี่ยวกับโรคที่กำลังทำวิจัย กรณีตัวอย่างที่ยกมานี้ อาจจะเกิดขึ้นได้ จึงจำเป็นต้อง เตรียมการแก้ไข ในขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูล ว่าจะตัดทิ้งไป หรือนำข้อมูลมาร่วมวิเคราะห์ด้วย
     5. การวิเคราะห์ก่อนการวิจัยสิ้นสุด (Interim Analysis) จะทำหรือไม่ และมีเหตุผลอะไรในการกระทำเช่นนั้น จะก่อให้เกิดผลดี และผลเสียอย่างไรบ้าง
 http://guru.sanook.com/encyclopedia/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5_(Analysis_and_Interpretation_of_Data)/ ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า การวิเคราะห์และการตีความหมายข้อมูล (Analysis and Interpretation of Data) โดย นางกรรณิกา ทิตาราม 
          ข้อมูลที่ทำการเก็บรวบรวม โดยทั่วไปจะมีจำนวนมาก เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ก็จะมีการดำเนินกับข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การแยกประเภท การจัดชั้น การสังเขป การหาข้อสรุปเกี่ยวกับลักษณะต่างๆ ของข้อมูล การพิจารณาหาว่าข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้มีความสัมพันธ์กับข้อมูลอื่นหรือไม่อย่างไร ตลอดจนอาจทำการพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตจากข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ กระบวนการต่างๆ เหล่านี้เรียกว่า การวิเคราะห์ข้อมูล  ซึ่งจะดำเนินการในรายละเอียดอย่างไรและเพียงไรนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูล และเรื่องที่ต้องการศึกษา ในบางกรณี การวิเคราะห์ข้อมูลก็ทำโดยใช้กราฟ ดังนั้นเมื่อพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าบางขั้นตอนของการวิเคราะห์ข้อมูล เช่นการจัดชั้นหรือแยกประเภทของข้อมูล จะต้องเตรียมวางแผนพร้อมกันไปกับการเก็บรวบรวมและการนำเสนอข้อมูล
          เมื่อข้อมูลได้รับการวิเคราะห์แล้ว ขั้นสุดท้ายของการดำเนินการทางสถิติก็คือ การตีความหมายข้อมูลเหล่านั้น การตีความหมายก็คือ การพิจารณาหาว่าอะไรคือข้อสรุปที่ได้จากการวิเคราะห์ ตัวเลขที่ได้จากการวิเคราะห์ช่วยสนับสนุนหรือปฏิเสธสมมุติฐานที่ตั้งไว้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ และตัวเลขที่ได้จากการวิเคราะห์บอกอะไรบางอย่างใหม่ๆ แก่เราบ้าง
          การตีความหมายข้อมูลเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องด้วยความรู้และเอกสารเกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้องมักมีจำกัด ดังนั้นการตีความหมายข้อมูล จึงไม่ควรสรุปลงไปอย่างแน่นอนตายตัวว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นอกจากนั้นเหตุผลอีกประการหนึ่งที่สนับสนุนการกระทำดังกล่าวนี้ ก็คือตัวข้อมูลเอง ได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า ข้อมูลประกอบด้วยข้อเท็จและข้อจริง มิใช่ข้อจริงล้วนๆ และตัวเลขที่ได้จากการวิเคราะห์ก็เป็นเพียงค่าประมาณ ดังนั้นการตีความหมายข้อมูลโดยการสรุปอย่างแน่นอนตายตัว จึงมีโอกาสผิดพลาดได้ง่ายมาก
          อย่างไรก็ตาม การตีความหมายที่ดี ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ 4 ประการ ดังต่อไปนี้
          1.  มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะค้นหาความจริงทุกอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ในข้อมูล
          2.  มีความรู้ความเข้าใจอย่างกว้างขวางในเหตุการณ์หรือเรื่องที่กำลังศึกษา
          3.  มีความคิดที่เป็นระเบียบและมีเหตุผลในการทำงาน
          4.  มีความสามารถในการใช้ถ้อยคำที่ชัดเจน ทำให้อ่านเข้าใจได้ง่าย
     http://www.thaiall.com/research/whatisresearch.htmได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า การวิเคราะห์ข้อมูล หมายถึง การแยกแยะทางความคิด หรือทางวัตถุของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อให้เห็นองค์ประกอบเพื่อศึกษาแต่ละองค์ประกอบหรือว่าแยกแยะเพื่อให้เห็นเพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ ขององค์ประกอบต่างๆ ที่ทำให้เกิดสิ่งนั้น หรือเรื่องนั้น เวลาวิเคราะห์ต้องพยายามหาคำตอบว่า ข้อความ บทความ เนื้อเรื่องนั้นให้ความรู้อะไรบ้าง ผู้เขียนแสดงความคิดเห็นอะไรให้ทราบบ้าง มีความรู้สึกอย่างไร
สรุป
      การวิเคราะห์ข้อมูล(Data Analysis) การเลือกใช้สถิติ จะต้องเหมาะสมกับคำถาม วัตถุประสงค์ และรูปแบบการวิจัย กล่าวคือเป็นการแยกแยะทางความคิด หรือทางวัตถุของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อให้เห็นองค์ประกอบเพื่อศึกษาแต่ละองค์ประกอบหรือว่าแยกแยะเพื่อให้เห็นเพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ ขององค์ประกอบต่างๆ ที่ทำให้เกิดสิ่งนั้น หรือเรื่องนั้น เวลาวิเคราะห์ต้องพยายามหาคำตอบว่า ข้อความ บทความ เนื้อเรื่องนั้นให้ความรู้อะไรบ้าง ผู้เขียนแสดงความคิดเห็นอะไรให้ทราบบ้าง มีความรู้สึก โดยควรให้รายละเอียดเกี่ยวกับ
    1. การสรุปข้อมูล (Summarization of Data) ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับ ชนิดของข้อมูลเชิงคุณภาพ (qualitaive data) หรือข้อมูลเชิงปริมาณ (quantitative data) 
    2. การนำเสนอข้อมูล (Data Presentation) เพื่อสื่อความหมาย ระหว่างนักวิจัย และผู้อ่านผลการวิจัย ทำให้เข้าใจได้ง่าย และเป็นการประหยัดเวลา ในการเขียนบรรยายผลที่ได้ การนำเสนอข้อมูล ต้องเลือกให้สอดคล้อง กับลักษณะของข้อมูลเช่นกัน 
     3. การทดสอบสมมติฐาน (ypothesis testing) โดยระถึง สถิติที่เหมาะสม ที่จะใช้ในการทดสอบสมมติฐานนั้น ทั้งนี้ ขึ้นกับปัจจัย 2 ประการ คือ ลักษณะการเปรียบเทียบ ระหว่างกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กัน) และการสรุปข้อมูล 
   4. ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น ข้อมูลขาดหายไป (missing data) ตัวอย่างไม่ให้ความร่วมมือ (non-complier) ผู้ป่วยออกจากการศึกษากลางคัน หรือผู้ป่วยเสียชีวิตด้วยโรคอื่น ที่ไม่เกี่ยวกับโรคที่กำลังทำวิจัย กรณีตัวอย่างที่ยกมานี้ อาจจะเกิดขึ้นได้ จึงจำเป็นต้อง เตรียมการแก้ไข ในขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูล ว่าจะตัดทิ้งไป หรือนำข้อมูลมาร่วมวิเคราะห์ด้วย
    5. การวิเคราะห์ก่อนการวิจัยสิ้นสุด (Interim Analysis) จะทำหรือไม่ และมีเหตุผลอะไรในการกระทำเช่นนั้น จะก่อให้เกิดผลดี และผลเสียอย่างไรบ้าง อย่างไร
อ้างอิง
  เว็บไซต์:http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2555.
  เว็บไซต์:http://www.thaiall.com/research/whatisresearch.htm.[ออนไลน์].เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2555.